“ทางสายกลาง” ไม่ใช่ทางของคริสเตียน

ด้วยความที่คริสเตียนมากมายอยากได้รับการยอมรับจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทำให้ยอมทิ้งการยอมรับจากพระเจ้า 

ด้วยความที่อยากให้สิ่งที่ตนเชื่อหรือสอนนั้นเป็นที่ยอมรับของผู้คนในวงกว้างขึ้น ทำให้คริสเตียนไม่น้อยยอมดัดแปลง เพิ่มเติม และบิดเบือนหลักคำสอนของพระวจนะ

ความเชื่อที่สุดโต่ง

แต่ว่าหลักความเชื่อและคำสอนตามหลักพระคัมภีร์ของคริสเตียนเรานั้นไม่ใช่ “ทางสายกลาง”  ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่พระคัมภีร์สอนนั้นสุดโต่งด้วยซ้ำไป เป็นคำสอนที่สุดขั้ว ไม่ขาวก็ดำ ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่มีอะไรที่เป็นตรงกลางเลย และผู้เชื่อในพระคริสต์จึงต้องยืนหยัดในสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ไม่ใช่แต่งเติมขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้ากับสังคมให้มากขึ้น

พระคำที่สุดโต่ง

มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่ยืนยันว่าหลักคำสอนของคริสเตียนเรานั้นไม่ใช่ทางสายกลาง? เช่น

  • พระเจ้าตรัสไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และห้ามไม่ให้มีการสร้างหรือเคารพรูปบูชา (อพยพ 20:1-3)
  • โมเสสย้ำเตือนต่อชนชาติอิสราเอลว่าเนื่องจากมีพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงผู้เดียว (ฉธบ 6:5)
  • ท่านโยชูวากล่าวต่อประชาชนว่าต้องเลือกว่าจะรับใช้พระเจ้าหรือผู้อื่น (โยชูวา 15) 
  • พระเยซูสอนว่าพระองค์ทรงเป็นหนทางเดียวสู่พระเจ้า(ยอห์น 14:6)
  • ในการเป็นสาวก พระเยซูกำชับไว้ว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้านั้นต้องอยู่เหนือทุกคนและทุกสิ่ง( ลูกา 14:26,33)
  • ยอห์นบอกว่าคนที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่คนไม่เชื่อก็จะต้องพินาศ(ยอห์น 3:16, 36)
  • เปโตรประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นามเดียวที่นำมาสู่ความรอด(กิจการ 4:12)
  • เปาโลบอกว่าใครที่ประกาศข่าวประเสริฐแย้งกับความจริง คนนั้นต้องถูกสาปแช่ง (กาลาเทีย 1:8-9)

นั่นคือสิ่งที่พระบิดาเจ้า พระเยซูคริสต์ และผู้รับใช้ของพระเจ้าในพระคัมภีร์นั้นได้สอนและประกาศกัน เราจะเห็นได้ว่าทุกคำสอนนั้นประกาศความจริงอย่างกล้าหาญ สอนความจริงโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย เพราะความจริงของพระเจ้ากับทางสายกลางนั้นไม่สามารถไปด้วยกันได้ ทุกคนที่จะติดตามพระเจ้านั้นต้องเลือกว่าจะเดินทางสายใด

แล้วทำไมคนชอบเดิน “ทางสายกลาง”? 

แต่ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าหลักความเชื่อและคำสอนของคริสเตียนเราไม่ใช่ทางสายกลางเลย ไม่ว่าจะในเรื่องของความรอดและเรื่องอื่นๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่มีคริสเตียนในปัจจุบันไม่น้อยที่คิดและสอนว่า “เราควรเดินสายกลางอย่ามากไปในทางใดทางหนึ่งเราควรยืนตรงจุดที่ทุกคนยอมรับได้ไม่ล้ำเส้นซึ่งกันและกันควรหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความต่างที่เราไม่เห็นด้วย  และพูดถึงแต่เรื่องที่ทุกความเชื่อนั้นเห็นด้วย ฟังผิวเผินนั้นดูดีและมีเหตุผล แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์สอนให้ทำหรือไม่? เปล่าเลย! นั่นเป็นสิ่งที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมและใหม่ทำกันหรือไม่? ไม่เลย! นั่นเป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์สอนหรือไม่? ไม่ใช่เลย!

แต่ว่าด้วยความที่ อยากเดินสายกลาง  อยากเป็นกลางไม่อยากมีปัญหากับใครอยากเป็นที่ยอมรับของทุกคนและทุกความเตียน”  คริสเตียนมากมายจึงประนีประนอมความจริง และมีความพยายามที่จะสอนและนำเสนอสิ่งที่อาจจะฟังดูดีแต่ขัดแย้งต่อพระคำของพระเจ้าหลายๆ อย่าง 

หลายคนก็บอกว่า ให้สร้างสันติระหว่างความเชื่อ สอนในแบบที่ให้ทุกความเชื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เข้าใจว่าคนที่พูดแบบนี้อยากให้ผู้คนจากทุกความเชื่ออยู่ร่วมกันโดยไม่มีปัญหากัน ซึ่งไม่ใช่เจตนาที่เลวร้ายอะไร และควรเป็นแบบนั้นในระดับหนึ่ง เพราะพระวจนะไม่หนุนใจเรื่องการใช้ความรุนแรง แต่ถ้าเราลองมองจากมุมของพระคัมภีร์ วิธีเดียวที่ผู้เชื่อและคนไม่ใช่ผู้เชื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติได้อย่างไม่ต้องมีอะไรบาดหมางใจกันคือ “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่สนใจในสิ่งที่พระเจ้าสอน ” คือ การไม่ยืนหยัดในความจริงที่พระคัมภีร์สอนเลย แต่ว่านั่นคือสิ่งที่พระคัมภีร์สอนให้ทำหรือ? ไม่เลย! 

ทางสายกลางย่ำหยีคุณค่าของไม้กางเขน

ถ้าพระเจ้าประสงค์ให้คนทั่วโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ว่าจะเชื่อหรือนมัสการพระเจ้าหรือไม่ ถ้าพระเจ้าไม่สนใจว่ามนุษย์เราจะเชื่อและนมัสการใคร/อะไรก็ได้ พระเยซูก็ไม่จำเป็นต้องเสด็จมาบนโลกนี้ พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนที่พระเยซูทรงเสด็จลงมาและทำพันธกิจ พระเยซูพูดกับผู้คนว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา เรามาเพื่อจะให้ ลูกชาย หมางใจกับบิดาของตน ลูกสาวหมางใจกับมารดาลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว และ ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน ( มัทธิว 10:34-36) เนื่องจากพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อก็คือ เชื่อ รัก ติดตาม นมัสการ และจงรักภักดีต่อพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีปัญหากับใครเลย เพราะสิ่งที่เราเชื่อและสอนนั้นไม่ใช่ทางสายกลางที่ทุกคนจะยอมรับกัน

ความเชื่อและคำสอนที่ผิดๆ 

บ้างก็เชื่อและสอนว่า ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าฟังดูดีมาก แต่พระคัมภีร์ไม่เคยสอนเลย แน่นอนว่าพระเจ้าสร้างเราทุกคนบนโลกนี้ แต่นั่นได้ทำให้ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า (ยอห์น 8:39-47) ความเป็น “ลูกของพระเจ้า” ไม่ได้เป็นเรื่องที่สืบทอดกันมา เหมือนที่ท่านยอห์นกล่าวไว้ว่าการเป็นลูกของพระเจ้านั้น “…ไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า” (ยอห์น 1:13) แต่ว่การเป็น “ลูกของพระเจ้า” นั้นเป็นสิทธ์ที่พระเจ้าประทานให้กับคนที่กลับใจจากความบาปและเชื่อในพระเยซูคริสต์ ยอห์น 1:12 เขียนไว้ว่า “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า”

บางคนก็บอกว่า เราต้องสร้างความรักมอบความรักให้ทุกคนอย่าสร้างความแตกแยกเลย แต่ว่าความรักที่ปราศจากความจริงนั้นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง แต่เป็นความรักที่จอมปลอมและเสแสร้ง! นักเทศน์คนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีการแสดงความรักใดที่ดีไปกว่ากันบอกความจริงลองนึกภาพหมอที่ไม่กล้าบอกความจริงกับคนไข้เพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้คนไม่สบายใจ หรือทำให้พวกเขาไม่ชื่นชอบในตัวเขา คนแบบนั้นไม่สามารถเป็นหมอที่ดีได้เลย ที่จริงหมอแบบนี้อันตรายและไม่ควรเป็นหมอด้วยซ้ำไป ความรักกับความจริงนั้นต้องเดินไปควบคู่กัน ความจริงนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าฟังเสมอไป แต่ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น! พระคัมภีร์กล่าวเตือนไว้ไว้ว่า “เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน”  (2 ทิโมธี 4:3) เราต้องปฏิเสธและต่อต้านใครก็ตามที่สอนหรือพยายามที่จะสร้างความรักโดยไม่สนใจความจริงที่พระคัมภีร์สอน 

สำรวจทางที่เราเดินอยู่

ลองย้อนกลับมาดูชีวิตคริสเตียนของเราว่าเรากำลังประนีประนอมความจริงของพระเจ้าอยู่ไม่? เรากำลังปฏิเสธความจริงของพระเจ้าหรือไม่? เรากำลังพยายามที่จะเดินทางสายกลางที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์หรือไม่? เราไม่สามารถเดินทางสายกลางเป็นสาวกที่สัตย์ซื่อของพระองค์ได้!  

ท่านมาร์ติน ลูเธอร์กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่าเราต้องรับผิดชอบไม่เฉพาะในสิ่งที่เราพูดเท่านั้นแต่รวมถึงสิ่งเราไม่ได้พูดด้วยบางทีเราทำผิดต่อพระเจ้าด้วยคำพูดของเรา แต่ว่าหลายครั้งเราก็ทำผิดต่อพระเจ้าด้วยสิ่งที่เราควรพูดแต่ไม่ได้พูด ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นอันตรายพอๆ กัน และพระเจ้ามองเห็นทั้งสองอย่าง ถึงแม้ว่าบริบทจะไม่เหมือนกัน เราจึงไม่แปลกใจที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ เพราะฉะนั้น คนที่รู้ว่าอะไรเป็นความดีที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำคนนั้นจึงมีบาป” (ยากอบ 4:17) 

การไม่เดินทางสายกลางมีราคาที่ต้องจ่าย…แต่คุ้มค่า

และแน่นอนว่าเวลาเรายืนหยัดในความจริงของพระเจ้าโดยไม่ประนีประนอม ต้องมีคนต่อต้านเรา เกลียดชังเรา และข่มเหงเรา แต่ว่าคริสเตียนเราควรแปลกใจที่ต่อเผชิญกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่? ไม่เลย! คนที่เป็นสาวกของพระองค์นั้นจะต้องรับการถูกข่มเหง( ยอห์น 15:18-20) ถ้าพระเยซูคริสต์ทรงถูกข่มเหง แล้วเราเป็นใครกันที่จะคาดหวังที่จะได้ต้องทนทุกข์อะไรเลย มาร์ติน ลูเธอร์เคยกล่าวไว้ว่าความเชื่อที่ไม่ต้องให้อะไรไม่ต้องเสียสละสิ่งใดและไม่ต้องทนทุกข์อะไร  นั้นเป็นความเชื่อที่ไม่มีค่าใดๆแต่ถึงแม้ว่าเราต้องถูกข่มเหงและทนทุกข์จริง มันก็ถือว่าเป็นเกียรติและความสุขของผู้เชื่อ เพราะว่าเราทนทุกข์เพราะพระเยซูคริสต์(มัทธิว 5:10-12) 

ไม่ละอายในข่าวประเสริฐ

ถ้าเราเชื่อในพระเจ้าและพระวจนของพระองค์ เราต้องพร้อมที่จะพูดความจริง ไม่ว่าราคาที่เราต้องจ่ายนั้นคืออะไร ขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือให้เรายืนหยัดในความจริงของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม ขอพระเจ้านำพาให้เรามุ่งมั่นจะประกาศความจริงของพระเจ้าทุกเวลา ไม่ใช่ประนีประนอมความจริงของพระเจ้าเพื่อที่จะเดินในทางสายกลางที่ทุกคนจะยอมรับเรา! ขอให้พระเจ้าเสริมกำลังให้เราลุกขึ้นยืนและป่าวประกาศในทุกสถานการณ์ว่า ข้าพเจ้าไม่ละอายในข่าวประเสริฐ…” (โรม 1:16)