คุณเป็นคริสเตียนมานานแค่ไหนแล้ว?

“ผมเป็นคริสเตียนมาตั้งแต่เกิด”
“ดินฉันเป็นคริสเตียนตั้งแต่จำความได้”
“ครอบครัวของเราเป็นคริสเตียนกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย”

นี่เป็นคำตอบบางส่วนของผู้คนเวลาถูกถามว่า “คุณเป็นคริสเตียนมานานแค่ไหนแล้ว?” หรือ “คุณมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?” แม้ว่าคำตอบของแต่ละคนนั้นจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าหลักๆ แล้วจะมีคำตอบอยู่เพียงแค่ 2 แบบ 

คำตอบแบบแรก

กลุ่มแรกก็คือคนที่บอกว่าเป็นคริสเตียนตั้งแต่ปีไหน หรือช่วงใดของชีวิต คือการเริ่มนับตั้งแต่ตอนที่ตนกลับใจจากความบาป และเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นและวิธีการนับอายุของการเป็นคริสเตียนอย่างถูกต้อง

คำตอบแบบที่สอง

แต่ว่าอีกกลุ่มหนึ่งก็คือประเภทที่จะบอกว่า เป็นคริสเตียนตั้งแต่เกิด หรือ เป็นคริสเตียนกันมาตั้งแต่รุ่นบรรบุรุษ ซึ่งคำตอบในลักษณะนี้ไม่ได้มองถึงความเชื่อและการกลับใจของตัวบุคคล แต่ยึดประวัติของครอบครัวเป็นหลัก เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ในครอบครัวคริสเตียนทั่วโลกนั้นมีผู้คนไม่น้อยที่มองว่าตนเป็นคริสเตียนในลักษณะนี้

ทำความเข้าใจใหม่

แต่ว่าเราต้องรู้และทำความเข้าใจตามหลักพระคัมภีร์ก่อนว่าการเป็นคริสเตียนนั้นไม่ได้สืบทอดมาทางพันธุกรรม หรือ ไม่ได้เกิดมาแล้วเป็นเลย บางคนมองการเป็นคริสเตียนเหมือนกับการได้สัญชาติ เพราะเวลาลูกเราเกิดมา ลูกก็จะได้สัญชาติตามพ่อและแม่ ผู้คนเลยคิดว่าการเป็นคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุที่พ่อแม่เราเป็นคริสเตียน เราจึงเป็นคริสเตียนด้วย แต่ว่าความรอดไม่ได้ทำงานในลักษณะนี้ 

สิ่งที่พระคัมภีร์สอน

ยอห์น 1:12-13 เขียนไว้ว่า “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้าซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า” จากพระคัมภีร์ข้อนี้และอีกมากมายในพระคัมภีร์ เราจะเห็นได้ว่า (1) การมาเป็นผู้เชื่อนั้นไม่ได้เกิดขี้นตามสายเลือดของครอบครัว (2) การมาเป็นผู้เชื่อไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความพยายามของมนุษย์ และ(3) การเป็นผู้เชื่อเกิดขึ้นเมื่อคนๆ นั้นกลับใจจากความบาป และเชื่อในพระเยซูคริสต์

ด้วยเหตุนี้ การที่คนๆ หนึ่งจะมาเป็นผู้เชื่อนั้น ไม่มีวิธีอื่นเลยนอกจากการกลับใจและเชื่อในพระเยซูคริสต์(ยอห์น 14:16; 3:16; โรม 10:9-10) 

พระประสงค์ของพระเจ้า

แม้ว่าการเติบโตขึ้นมาในครอบครัวคริสเตียนนั้นจะเป็นพระพรในหลายๆ ด้าน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อแทนใครได้ ทุกคนต้องกลับใจและเชื่อเอง และที่สำคัญ ไม่มีใครวางแผนในเรื่องนี้ได้ แต่มันเป็นการทำงานและพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้ายืมคำของท่านเปาโลมาใช้ก็คือ “ทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรือความมานะของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า” (โรม 9:16) 

คำหนุนใจสำหรับทุกคน

นี่จึงเป็นทั้งคำเตือนสำหรับพ่อแม่ทุกคนที่มีลูกไม่ให้มองว่าลูกของตนนั้นเป็นคริสเตียนเพียงเพราะเขาเกิดมาในครอบครัวคริสเตียนและหนุนใจให้หมั่นอธิษฐานเผื่อและไม่ละเลยในการแบ่งปันข่าวประเสริฐอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเรา นอกเหนือจากนี้ก็ยังเป็นการท้าทายให้ทุกคนที่เติบโตมาในครอบครัวตรวจสอบว่าตนได้กลับใจและเชื่อในพระเยซูคริสต์ยังแท้จริงหรือไม่? 

ไม่มีใครเชื่อแทนใครได้

เพราะฉะนั้น การที่เราบอกว่าเราเป็นคริสเตียนตั้งแต่เกิดหรือในทำนองที่ยึดกับสิ่งที่ครอบครัวเชื่อกันมาโดยไม่คำนึงถึงความเชื่อและการกลับใจของตัวบุคคลจึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ เรามาเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เมื่อเราได้กลับใจจากความบาป ตัดสินใจที่จะเชื่อและติดตามพระเยซูคริสต์!(โดยพระคุณของพระเจ้า เอเฟซัส 2:1-10) 

คุณเป็นคริสเตียนมานานแค่ไหนแล้ว? และคุณมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?