Entries by

คุณเป็นคริสเตียนมานานแค่ไหนแล้ว?

“ผมเป็นคริสเตียนมาตั้งแต่เกิด”“ดินฉันเป็นคริสเตียนตั้งแต่จำความได้”“ครอบครัวของเราเป็นคริสเตียนกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย” นี่เป็นคำตอบบางส่วนของผู้คนเวลาถูกถามว่า “คุณเป็นคริสเตียนมานานแค่ไหนแล้ว?” หรือ “คุณมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?” แม้ว่าคำตอบของแต่ละคนนั้นจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าหลักๆ แล้วจะมีคำตอบอยู่เพียงแค่ 2 แบบ  คำตอบแบบแรก กลุ่มแรกก็คือคนที่บอกว่าเป็นคริสเตียนตั้งแต่ปีไหน หรือช่วงใดของชีวิต คือการเริ่มนับตั้งแต่ตอนที่ตนกลับใจจากความบาป และเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นและวิธีการนับอายุของการเป็นคริสเตียนอย่างถูกต้อง คำตอบแบบที่สอง แต่ว่าอีกกลุ่มหนึ่งก็คือประเภทที่จะบอกว่า เป็นคริสเตียนตั้งแต่เกิด หรือ เป็นคริสเตียนกันมาตั้งแต่รุ่นบรรบุรุษ ซึ่งคำตอบในลักษณะนี้ไม่ได้มองถึงความเชื่อและการกลับใจของตัวบุคคล แต่ยึดประวัติของครอบครัวเป็นหลัก เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ในครอบครัวคริสเตียนทั่วโลกนั้นมีผู้คนไม่น้อยที่มองว่าตนเป็นคริสเตียนในลักษณะนี้ ทำความเข้าใจใหม่ แต่ว่าเราต้องรู้และทำความเข้าใจตามหลักพระคัมภีร์ก่อนว่าการเป็นคริสเตียนนั้นไม่ได้สืบทอดมาทางพันธุกรรม หรือ ไม่ได้เกิดมาแล้วเป็นเลย บางคนมองการเป็นคริสเตียนเหมือนกับการได้สัญชาติ เพราะเวลาลูกเราเกิดมา ลูกก็จะได้สัญชาติตามพ่อและแม่ ผู้คนเลยคิดว่าการเป็นคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุที่พ่อแม่เราเป็นคริสเตียน เราจึงเป็นคริสเตียนด้วย แต่ว่าความรอดไม่ได้ทำงานในลักษณะนี้  สิ่งที่พระคัมภีร์สอน ยอห์น 1:12-13 เขียนไว้ว่า “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้าซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า” จากพระคัมภีร์ข้อนี้และอีกมากมายในพระคัมภีร์ เราจะเห็นได้ว่า (1) การมาเป็นผู้เชื่อนั้นไม่ได้เกิดขี้นตามสายเลือดของครอบครัว (2) การมาเป็นผู้เชื่อไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความพยายามของมนุษย์ และ(3) การเป็นผู้เชื่อเกิดขึ้นเมื่อคนๆ นั้นกลับใจจากความบาป และเชื่อในพระเยซูคริสต์ ด้วยเหตุนี้ […]

การเฝ้าเดี่ยว

“ผมจะไม่ออกไปเจอหรือคุยกับใครจนกว่าผมจะได้ใช้เวลากับพระเจ้าก่อน”  นี่เป็นคำพูดของชายคนหนึ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจที่จะให้ความสำคัญการใช้เวลากับพระเจ้าและพระคำของพระองค์ก่อนที่เขาจะออกไปเจอใครหรือไปทำอื่นใดในแต่ละวัน เขาอยากเจอพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก เพราะนั่นคือการเริ่มต้นวันที่สำคัญมากที่สุดสำหรับเขา   เราคุ้นเคยกับการปฏิบัติในลักษณะดังกล่าวนี้ว่า “การเฝ้าเดี่ยว” คำนิยามของการเฝ้าเดี่ยว “การเฝ้าเดี่ยว” คือการใช้เวลากับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในแต่ละวันผ่านทางการอธิษฐาน การอ่าน/ท่องจำ/ใคร่ครวญพระคัมภีร์ หรือการอ่านหนังสือที่ช่วยให้เราเข้าใจพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์มากขึ้นเพื่อที่จะนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน  ประโยชน์ของการเฝ้าเดี่ยว การเฝ้าเดี่ยวนั้นเป็นเวลาที่เราจะป้อนอาหารทางฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ในขณะที่อาหารที่เราทานในแต่ละวันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การเฝ้าเดี่ยวเป็นประโยชน์ต่อชีวิตทางฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ในการดำรงชีวิตคริสเตียนของเราในแต่ละวันนั้น เราต้องเจอกับสิ่งต่างๆ เยอะแยะมากมาย เราต้องการสติปัญญาและกำลังจากพระคำเพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ในมัทธิว 4:4 พระเยซูทรงตรัสไว้ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” เวลาที่เหมาะสมสำหรับการเฝ้าเดี่ยว เนื่องจากตารางชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน จึงไม่มีเวลาที่ตายตัวในการเฝ้าเดียว คล้ายๆ กับการถามว่า เราควรจะออกกำลังกายช่วงไหนของวัน? ซึ่งบ้างก็ทำเช้า สาย บ่าย เย็น แล้วแต่ช่วงเวลาที่ตนมี แต่ประเด็ณก็คือ ต้องหาเวลาที่เหมาะที่สุดในแต่ละวันและใช้เวลากับพระเจ้า แม้ว่าเวลาในการเฝ้าเดี่ยวของแต่ละคนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าเวลาที่ผู้คนนิยมจะเฝ้าเดี่ยวกันก็คือในตอนเช้า นั่นก็เพราะว่าตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่เราจะได้ใช้เวลากับพระคำของพระองค์ก่อนจะออกไปทำงานหรือว่าเรียน และสิ่งที่เราอ่านหรือว่าศึกษาในเช้านั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ที่เราจะต้องเจอในวันนั้น หลายๆ คนก็เลยอาจจะตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อที่จะได้ใช้เวลากับพระเจ้าก่อนออกจากบ้าน เป็นการเตรียมตัวและเตรียมพร้อมในการใช้ชีวิตของทั้งวัน หลายๆ ครั้งพระคำที่เราได้อ่านได้ศึกษาในวันดังกล่าวเป็นพระพรให้กับตัวเราเองและคนรอบข้าง แต่ว่าสำหรับหลายๆ คนก็อาจจะเป็นได้ยากที่จะเฝ้าเดี่ยวตอนเช้า ก็อาจจะเฝ้าเดี่ยวระหว่างวันตอนมีเวลาว่าง หรือว่าก่อนที่จะเข้านอน เช่น สำหรับคนที่เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้านนั้น อาจจะต้องเป็นช่วงที่ลูกๆ นอนอยู่ […]

วิธีที่พระเจ้าทรงใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์เรา

มีผู้คนมากมายเชื่อและสอนว่าพระเจ้าสื่อสารกับเราด้วยการมาเข้าฝัน บ้างก็เชื่อว่าพระเจ้ามาปรากฏตัวให้ผู้เชื่อเห็นเป็นการส่วนตัวในสถานที่ต่างๆ เพื่อประทานนิมิตหรือความจริงบางประการ บางคนก็บอกว่าสามารถได้ยินเสียงของพระเจ้า และอื่นๆ อีกมากมาย คำถามก็คือ นั่นเป็นวิธีที่พระเจ้าทรงใช้ในการสื่อสารกับผู้เชื่อเราในทุกวันนี้จริงหรือ? ตามหลักพระคัมภีร์แล้ว “ไม่ใช่เลย!” แล้วทุกวันนี้พระเจ้าสื่อสารกับเราโดยวิธีใด? พระเจ้าทรงสื่อสารกับเราผ่านทางพระวจนะของพระองค์นั่นก็คือพระวจนะของพระองค์ตั้งแต่ ปฐมกาล-วิวรณ์!  เรามีพระคัมภีร์ที่สมบูรณ์แบบที่เป็นพระคำของพระเจ้าและพระองค์ทรงพอพระทัยที่จะทรงใช้พระคัมภีร์เป็นช่องทางในการที่จะสื่อสารกับมวลมนุษยชาติ ทุกคนที่อ้างว่าได้รับพระคำหรือนิมิตมาจากพระเจ้านั้นต้องพิสูจน์และต้องได้รับการยืนยันโดยผ่านทางพระวจะของพระองค์! กล่าวคือสิ่งที่กล่าวนั้นต้องสอดคล้องกับสิ่งที่พระคัมภีร์ได้สอนไว้ อาจารย์ของผมคนหนึ่งมักจะย้ำอยู่เสมอว่าเราไม่ควรที่จะใช้ประสบการณ์ของมนุษย์ไปตัดสินพระวจนะ แต่เราควรที่จะให้พระวจจะตัดสินประสบการณ์ของเรา เพราะพระคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่มีอำนาจสูงสุดในทุกสิ่งอย่างที่เราเชื่อและสอน ไม่ใช่ประสบการณ์ส่วนตัวของใครบางคน จริงอยู่ที่ว่าเวลาเราสำรวจพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะสื่อสารกับมนุษย์เราโดยวิธีต่างๆ เช่น พระเจ้าทรงเลือกที่จะสื่อสารโดยตัวต่อตัวโดยพระสุรเสียงของพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกที่จะสื่อสารโดยผ่านทางความฝัน พระเจ้าทรงเลือกที่จะสื่อสารโดยผ่านทางผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือกขึ้นมา(ผู้เผยพระวจนะ) แต่นั่นแค่เป็นช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าเราลองหยุดและไตร่ตรองดูดีๆ เราจะเห็นได้ว่าพระเจ้าไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับเราโดยวิธีต่างๆ เหมือนอย่างในสมัยของพระคัมภีร์เดิม เพราะว่าทุกสิ่งอย่างที่พระเจ้าประสงค์ที่จะสื่อสารกับมนุษย์เรานั้นได้รับการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 66 เล่มนี้แล้วเราจึงต้องเชื่อและมั่นใจว่าพระคัมภีร์นั้นเพียงพอไม่ใช่พยายามที่จะหาช่องทางอื่นที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันพิเศษและสำคัญกว่าพระคัมภีร์  ในยอห์น 10: 27 พระเยซูกล่าวไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะเหล่านั้นก็ตามเรา”  คำถามก็คือ “ทุกวันนี้เราจะฟังเสียงของพระเจ้าหรือพระเยซูได้อย่างไร?” คำตอบก็คือ “ผ่านทางพระวจะของพระเจ้า”  เพราะ 2 ทิโมธี 3:16 กล่าวไว้ว่า “พระวจนะทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า”  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำรงอยู่ในผู้เชื่อทุกคนที่จะช่วยให้เราเชื่อและเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเราผ่านทางพระคำของพระองค์!  เพราะฉะนั้น พระเจ้าสื่อสารกับเราผ่านทางพระวจนะของพระองค์ที่สมบูรณ์แบบและพระวจนะนั้นมีความสำคัญและสิทธิอำนาจเหนือความฝันหรือนิมิตใดๆที่คนอ้างว่าได้มาจากพระเจ้า มีคนกล่าวไว้อย่างติดตลกแต่แฝงไปด้วยความจริงว่า […]

วิธีการฟังคำเทศนาอย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมสิ่งที่แต่ละคนได้รับจากการคำเทศนานั้นจึง “ไม่เท่ากัน” ทั้งๆ ที่ฟังคนๆ เดียวกัน คำเทศนาเดียวกัน และในเวลาเดียวกัน?  ทำไมบางคนได้รับพระพรอย่างล้นเหลือจากคำเทศนา แต่หลายคนก็รู้สึกว่าได้นิดเดียว ในขณะที่ผู้คนมากมายนั้นรู้สึกว่าไม่ได้อะไรเลย? แน่นอนว่าการทำงานของพระเจ้าในจิตใจของแต่ละคนและองค์ประกอบอื่นๆ มีผลด้วย แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ แต่ละคนนั้นมีวิธีในการฟังคำเทศนาที่ไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นวิธีการฟังคำเทศนานั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากแต่ว่าน่าเสียดายที่มีน้อยคนนักที่จะให้ความสนใจกับวิธีการฟังคำเทศนา คือดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าใจกันเอาเองว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนหรือแนะนำ แต่ว่าพระเยซูคริสต์ทรงตรัสไว้ในลูกา 8:18 ว่า “…จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่พวกท่านได้ยินได้ฟัง…” ในบทความสั้นๆ นี้ ผมอยากจะแบ่งปันวิธีการฟังคำเทศนที่เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ผมได้จำแนกออกเป็น 3 ส่วนคือ ก่อนฟัง ตอนฟัง และหลังฟัง ซึ่งแต่ละส่วนนั้นจะประกอบไปด้วย 5 อย่างด้วยกัน ก่อนฟังคำเทศนา อ่านข้อพระคัมภีร์ที่เราจะฟังคำเทศนามาจากที่บ้าน การอ่านพระคัมภีร์ล่วงหน้าเป็นการเตรียมตัวเราเพื่อที่จะไปฟังและศึกษาพระคำของพระเจ้า ถ้าเราอ่านมาล่วงหน้า เราก็จะตามนักเทศน์ได้ดีกว่าเพราะเป็นพระคำที่เราเพิ่งอ่านมา  อธิษฐานเผื่อตัวเอง อธิษฐานเผื่อที่พระเจ้าจะทรงเปิดตาและเปิดใจของเราให้ได้เห็นและได้ยินสิ่งอัศจรรย์จากพระคำของพระเจ้า เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดและจิตใจของเราให้รักและรู้จักพระองค์มากขึ้น! เตรียมตัวให้พร้อมคืนก่อนที่จะไปฟังคำเทศนา อาจจะฟังดูแปลกแต่ว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การไม่ได้นอนหรือนอนน้อยคืนก่อนไปโบสถ์ก็มีผลกระทบต่อการฟังของเราเป็นอย่างมากเพราะถึงแม้ว่าจิตใจของเราพร้อม แต่ว่าร่างกายของเรานั้นอ่อนแอมาก อธิษฐานเผื่อนักเทศน์ ประสิทธิภาพของการเทศนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักเทศน์ แต่ขึ้นอยู่กับการทรงใช้ของพระเจ้าด้วย ด้วยเหตุนี้ การอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงเจิมและใช้นักเทศน์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  อย่าไปสาย! การไปสายทำให้ไม่รู้ว่านักเทศน์พูดเกี่ยวกับอะไร พระคำข้อไหน และทำให้เราจับต้นชนปลายไม่ถูก […]

“ทางสายกลาง” ไม่ใช่ทางของคริสเตียน

ด้วยความที่คริสเตียนมากมายอยากได้รับการยอมรับจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทำให้ยอมทิ้งการยอมรับจากพระเจ้า  ด้วยความที่อยากให้สิ่งที่ตนเชื่อหรือสอนนั้นเป็นที่ยอมรับของผู้คนในวงกว้างขึ้น ทำให้คริสเตียนไม่น้อยยอมดัดแปลง เพิ่มเติม และบิดเบือนหลักคำสอนของพระวจนะ ความเชื่อที่สุดโต่ง แต่ว่าหลักความเชื่อและคำสอนตามหลักพระคัมภีร์ของคริสเตียนเรานั้นไม่ใช่ “ทางสายกลาง”  ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่พระคัมภีร์สอนนั้นสุดโต่งด้วยซ้ำไป เป็นคำสอนที่สุดขั้ว ไม่ขาวก็ดำ ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่มีอะไรที่เป็นตรงกลางเลย และผู้เชื่อในพระคริสต์จึงต้องยืนหยัดในสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ไม่ใช่แต่งเติมขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้ากับสังคมให้มากขึ้น พระคำที่สุดโต่ง มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่ยืนยันว่าหลักคำสอนของคริสเตียนเรานั้นไม่ใช่ทางสายกลาง? เช่น พระเจ้าตรัสไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และห้ามไม่ให้มีการสร้างหรือเคารพรูปบูชา (อพยพ 20:1-3) โมเสสย้ำเตือนต่อชนชาติอิสราเอลว่าเนื่องจากมีพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงผู้เดียว (ฉธบ 6:5) ท่านโยชูวากล่าวต่อประชาชนว่าต้องเลือกว่าจะรับใช้พระเจ้าหรือผู้อื่น (โยชูวา 15)  พระเยซูสอนว่าพระองค์ทรงเป็นหนทางเดียวสู่พระเจ้า(ยอห์น 14:6) ในการเป็นสาวก พระเยซูกำชับไว้ว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้านั้นต้องอยู่เหนือทุกคนและทุกสิ่ง( ลูกา 14:26,33) ยอห์นบอกว่าคนที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่คนไม่เชื่อก็จะต้องพินาศ(ยอห์น 3:16, 36) เปโตรประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นามเดียวที่นำมาสู่ความรอด(กิจการ 4:12) เปาโลบอกว่าใครที่ประกาศข่าวประเสริฐแย้งกับความจริง คนนั้นต้องถูกสาปแช่ง (กาลาเทีย 1:8-9) นั่นคือสิ่งที่พระบิดาเจ้า พระเยซูคริสต์ และผู้รับใช้ของพระเจ้าในพระคัมภีร์นั้นได้สอนและประกาศกัน เราจะเห็นได้ว่าทุกคำสอนนั้นประกาศความจริงอย่างกล้าหาญ สอนความจริงโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย เพราะความจริงของพระเจ้ากับทางสายกลางนั้นไม่สามารถไปด้วยกันได้ ทุกคนที่จะติดตามพระเจ้านั้นต้องเลือกว่าจะเดินทางสายใด แล้วทำไมคนชอบเดิน […]

20 อย่างที่คริสเตียนควรอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลของตน

ครั้งสุดท้ายที่คุณอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลของตนเองคือเมื่อไหร่? ถ้าประสิทธิภาพและประสิทธิผลในชีวิตการรับใช้ของเขาขึ้นอยู่กับการอธิษฐานของคุณ เขาจะเป็นอย่างไร? ถึงแม้ว่าการเป็นศิษยาภิบาลนั้นจะเป็นการทรงเรียกจากพระเจ้าที่ทรงเกียรติและยิ่งใหญ่(1 ทิโมธี 3:1) แต่ว่าเป็นหน้าที่ที่ท้าทายเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ การอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลจึงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในโลกอย่างหนึ่งที่พี่น้องจะให้กับเขาได้ นี่คือ 20 อย่างคร่าวๆ ที่คริสเตียนทุกคนควรอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลของตน การเตรียมคำเทศนา อธิษฐานเผื่อเขาในการเตรียมคำสอนและคำเทศนาที่จะสอนในแต่ละอาทิตย์(2 ทิโมธี 4:2) ขอให้พระเจ้าประทานสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าในการเข้าใจพระคำและวิธีในการอธิบายความจริงนั้นกับคนในคริสตจักร คำเทศนา อธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่กับเขาทุกครั้งที่เขายืนขึ้นและเทศนา (กิจการ 4:8-12; กิจการ 6:10) ขอพระองค์ทรงใช้เขาอย่างยิ่งใหญ่ ใครก็ยืนขึ้นและพูดได้ แต่ฤทธิ์เดชในการเปลี่ยนแปลงชีวิตมาจากพระองค์ การเติบโตทางฝ่ายจิตวิญญาณ อธิษฐานเผื่อที่พระเจ้าจะช่วยให้เขาเติบโตทางฝ่ายจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ด้าน (2 เปโตร 3:18) ถ้าตัวศิษยาภิบาลเองไม่เติบโตด้านฝ่ายจิตวิญญาณเลย ความหวังและความเป็นไปได้ในการเติบโตของคริสตจักรและสมาชิกนั้นมีน้อยมาก จิตใจที่บริสุทธิ์ อธิษฐานเผื่อที่พระเจ้าจะปกป้องจิตใจและความคิดของเขาให้ใสสะอาดและบริสุทธิ์อยู่เสมอ (1 เธสะโลนิกา 4:4; มัทธิว 5:8) อาจจะเป็นการปกป้องเขาจากสิ่งที่เขาอ่าน ดู ฟัง หรือคิดในแต่ละวัน ชีวิตการอธิษฐาน อธิษฐานเผื่อที่เขาจะใช้เวลากับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอผ่านทางการอธิษฐาน (1 เธสะโลนิกา 5:17) จะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอย่างมากถ้าคนที่ทำงานรับใช้พระเจ้าและสอนความจริงเกี่ยวกับพระองค์ไม่ใช้เวลากับพระองค์ในแต่วัน อธิษฐานเผื่อที่เขาจะไม่ละเลยชีวิตการอธิษฐาน ชีวิตครอบครัว […]